รอยแตกลาย การรักษารอยแตกลาย

การรักษารอยแตกลายด้วยเทคนิค 

SMR (Stretch Mark Rejuvenation)

          โดยทั่วไปปัญหาผิวที่พบมีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นผิวแห้งกร้าน ผิวคล้ำ ผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย หรือแม้กระทั่งปัญหาสิว เหล่านี้ผู้บริโภคมีการแก้ปัญหาเริ่มต้นโดยการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ตามท้องตาด ตามโฆษณาหรือสื่อต่าง ๆ ที่น่าสนใจมาทดลองใช้และดูแลตนเอง บางกลุ่มเลือกที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือสถานบริการความงาม

รอยแตกลาย คือ อะไร เกิดจากอะไร

     อีกหนึ่งปัญหาที่ผู้หญิงส่วนใหญ่พบคือ รอยแตกลาย โดยรอยแตกลายเป็นแผลเป็นชนิดหนึ่งที่เกิดจากการยืดขยาย หรือหดตัวอย่างรวดเร็วในชั้นผิวหนัง เป็นสาเหตุให้คอลลาเจนและอีลาสตินเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลัน ผลที่ตามมาคือรอยแตกลายในชั้นผิวหนังนั่นเอง (Nichols, 2018) ผู้บริโภคที่มีปัญหาเหล่านี้มีการดูแลและรักษาแตกต่างกัน ไม่ว่าซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดครีมหรือเจลมาทาบำรุงด้วยตนเอง หรือเลือกเข้ารับการรักษากับสถานบริการเสริมความงามและคลินิกความงาม ซึ่งจะเห็นได้ว่ากลุ่มครีมบำรุงผิวได้รับความสนใจเพิ่มสูงขึ้น มีผลิตภัณฑ์ดูแลรักษารอยแตกลายหลากหลายเจ้าเข้ามาแข่งขันโดย พญ.ศุภกมล ฉัตรศุภกุล ได้แนะนำ 10 อันดับครีมลดรอยแตกลายที่ได้รับความนิยมและมีคุณภาพจากหลายแบรนด์ดัง เช่น Clarins, Smooth E, Jergens หรือ Bio-Oil (ศุภกมล, 2565) อีกทั้งยังพบว่ามีแบรนด์น้องใหม่เกิดขึ้นมากมาย เช่น EVE’S OILที่ได้เชิญ ไอซ์-อภิษฎา เครือคงคา นักแสดงและพิธีกรสาวชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ (ThaiPr, 2565)

 

ภาพที่1และ2 ภาพผิวแตกลายบริเวณก้น และหน้าขา 

ที่มา: (tbc,2565)

        รอยแตกลายมีแบ่งออกเป็น 2 ระยะด้วยกันคือ ระยะแรกจะเกิดขึ้นทันทีโดยจะมีลักษณะสีแดง หรือม่วงในบริเวณที่ผิวเกิดการแตกลาย ถัดมาคือระยะที่ 2 หรือระยะหลัง แผลจะเริ่มมีการเปลี่ยนสีเป็นสีขาว หรือขาวขุ่น (Medthai, 2560) 

 

ภาพที่3 ภาพผิวแตกลายระยะแรก จะมีรอยสีแดง หรือม่วง 

ที่มา: (Medthai, 2560)

ภาพที่ 4 ภาพผิวแตกลายระยะหลัง จะมีรอยแตกลายสีขาวขุ่น 

ที่มา: (Medthai, 2560)

     ในปัจจุบันการรักษารอยแตกลายมีหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการซื้อครีมบำรุงผิวมาทำ การทำขัดหรือสครับผิว การเลเซอร์ การทำ IPL (Intensed Pulsed Light) การทำเมโสรักษารอยแตกลาย‎ (Mesotherapy)การทำเดอร์มาโรลเลอร์ (Dermaroller) ไปจนถึงการทำฉีดคาร์บ็อกซี่ (Carboxytherapy) (Charmerclinic, 2563) โดยการรักษาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน รวมไปถึงจำนวนครั้งในการเข้ารับบริการและค่าใช้จ่ายในการเข้ารับบริการซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคกลุ่มนี้อีกด้วย ในส่วนของสถานเสริมความงามไทยแลนด์บิวตี้เซ็นเตอร์นั้น ได้เลือกการรักษารอยแตกลายที่จะให้บริการกับผู้บริโภคด้วยการทำ Dermal Micropigmentation ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะจากมาสเตอร์เมลินดาชาวฮังการี เจ้าของสถาบัน HelpInk Academy โดยการใช้เข็มกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวเพื่อรักษาและใช้การฝังสีเพื่อปรับให้สีผิวมีความเรียบเนียนสม่ำเสมอกันมากยิ่งขึ้น การให้บริการรักษารอยแตกลายด้วยเทคนิคนี้เป็นเทคนิคใหม่เฉพาะสำหรับสถานเสริมความงามไทยแลนด์บิวตี้เซ็นเตอร์

การรักษารอยแตกลายด้วยเทคนิค SMR (Stretch Mark Rejuvenation)

       การรักษารอยแตกลายดังที่กล่าวมาข้างต้นมีหลากหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีนั้นมีข้อดีและข้อเสีย รวมถึงค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไป ในส่วนของการรักษารอยแตกลายโดยเทคนิค SMR (Stretch mark rejuvenation) จะเป็นการรักษาที่สามารถทำได้ในระยะที่ 2 หรือระยะหลัง แผลจะเริ่มมีการเปลี่ยนสีเป็นสีขาว หรือขาวขุ่น หากผู้เข้ารับการรักษารอยแตกลายที่เป็นในระยะแรกจะเกิดขึ้นทันทีโดยจะมีลักษณะสีแดง หรือม่วงในบริเวณที่ผิวเกิดการแตกลาย ซึ่งหากต้องการเข้ารับการรักษาต้องรอให้รอยแตกลายแห้งและกลายเป็นสีขาวขุ่นก่อนจึงจะสามารถรักษาด้วยวิธีการนี้ได้ โดยประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความลึกของรอยแตกลาย โดยการรักษารอยแตกลายโดยเทคนิค SMR (Stretch mark rejuvenation)  จะเป็นการใช้เข็มคล้ายการสักลงบนผิวหนังตามรอยที่มีการแตกลาย ซึ่งจะมีเทคนิคการลงเข็มที่แตกต่างจากการสักคิ้วหรือสักตัว โดยจะตื้นลึกแตกต่างกันไปตามลักษณะและร่องแผลของรอยแตกลาย ในขณะที่สักจะมีการใส่สารละลายและสีเนื้อผสมลงไปเพื่อกระตุ้นให้ผิวตื้นขึ้น อีกทั้งปรับสภาพผิวและสีผิวให้สม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น จำนวนครั้งที่ใช้ในการรักษาขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล มีตั้งแต่ 2-10 ครั้งในการเข้ารับการรักษา ทั้งนี้ควรได้รับประเมินและรักษาจากผู้ที่เชี่ยวชาญและชำนาญการเท่านั้น

ปรึกษาโทร.092-323-9144 

Line : @tbc789

ตัวอย่างภาพก่อนและหลังใช้บริการรักษารอยแตกลายเทคนิค SMR (Stretch mark rejuvenation) โดย TBC 

 

 

  

เขียนโดย อาจารย์เพ็ญพราว กล้ายประยงค์

เมื่อ 6 กรกฎาคม 2566

การเตรียมตัวก่อนการเข้ารับบริการรักาารอยแตกลาย

รักษารอยแตกลายโดยเทคนิค SMR

(Stretch Mark Rejuvenation)

การเตรียมตัวก่อนการเข้ารับบริการรักษารอยแตกลาย
1. ในวันเข้ารับบริการควรสวมเสื้อไม่รัดรูป ไม่เสียดสีบริเวณที่จะรักษา และไม่ควรสวมเสื้อผ้าสีขาวหรือสีอ่อน
- หากรักษาบริเวณต้นแขนหรือแขน ควรสวมเสื้อแขนกุดหรือแขนสั้น
- หากรักษาเป็นบริเวณก้น สะโพก ควรสวมชั้นในแบบจีสตริง และสวมกระโปรงสีเข้ม เพื่อลดการเสียด
(กรณีเป็นประจำเดือนควรเลี่ยงหรือเลื่อนวันเข้ารับบริการ)
2. ไม่ควรทาบีบีหรือรอบพื้นตัวมาในวันรักษา สามารทาครีมบำรุงหรือครีมกันแดดตัวได้ตามปกติ
3. หากมีการอาบแดดควรพักผิว 1 เดือนก่อนเข้ารับบริการ
4.ควรมาตรงตามเวลาและเผื่อเวลาในการเข้ารับบริการเพื่อให้อาจารย์สามารถให้บริการรักษาได้อย่างเต็มที่
5.สามารถทานอาหารเสริมได้ตามปกติไม่ต้องงดค่ะ

โดย  : เพ็ญพราว กล้ายประยงค์

(ผู้อำนวยการสถาบัน TBC.Academy)

เมื่อ : 6 พฤศจิกายน 2566 (ปรับปรุงล่าสุด)

 

การดูแลหลังการรักษารอยแตกลาย

การดูแลรักษาหลังการรักษารอยแตกลาย
1.ห้ามโดนน้ำ 1วันหลังทำ (24ชั่วโมง)
2.เลี่ยงการโดนสบู่และขัดถูบริเวณแผล 1 สัปดาห์
3.งดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อเยอะ เช่น ซาวน่า อาบแดด หรือกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ
4.หากคันหรือตึงสามารถทาวาสลีนหรือครีมบำรุงวันละ1-2ครั้ง หลังอาบน้ำ (ให้ทาบำรุงตามที่อาจารย์แนะนำ)
5.การรักษาในครั้งต่อไปต้องรอให้ผิวฟื้นตัวก่อนโดยปกติอย่างน้อย 6-8 สัปดาห์
6.งดการเกาหรือแกะสะเก็ดแผล ควรให้แผลหลุดลอกเอง
7.สัปดาห์แรกควรสวมใส่เสื้อผ้าที่เบาสบาย เพื่อลดความอับชื้นและการเสียดสีแผลบริเวณที่รักษา

โดย  : เพ็ญพราว กล้ายประยงค์

(ผู้อำนวยการสถาบัน TBC.Academy)

เมื่อ : 6 พฤศจิกายน 2566 (ปรับปรุงล่าสุด)